ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศและอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน เราใช้เทคโนโลยีในการเรียน การทำงาน และการสื่อสาร แม้ว่าจะช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่ก็มี ภัยคุกคาม ที่แฝงมากับการใช้งาน หากผู้ใช้ไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูล ความเป็นส่วนตัว หรือแม้กระทั่งทรัพย์สิน ดังนั้นผู้ใช้จึงควรรู้จักภัยคุกคามรูปแบบต่าง ๆ และวิธีการป้องกันที่เหมาะสม
1) ภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ภัยคุกคามจากเทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อันตรายหรือความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั้งจากผู้ไม่หวังดี เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายระบบ เช่น การถูกขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลรั่วไหล หรือคอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์
2) วิธีการคุกคาม
2.1 การคุกคามโดยใช้จิตวิทยา
เป็นการหลอกลวงให้ผู้ใช้ทำสิ่งที่ไม่ปลอดภัยหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ โดยอาศัยความไว้วางใจหรือความประมาท เช่น อีเมลปลอมที่อ้างว่าเป็นธนาคาร โทรศัพท์ที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อขอรหัสผ่าน หรือข้อความหลอกว่าได้รับรางวัลแล้วให้คลิกลิงก์
2.2 การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
เป็นการเผยแพร่หรือชักชวนให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อสังคมหรือผู้ใช้งาน เช่น เว็บไซต์ที่มีภาพอนาจาร วิดีโอความรุนแรง หรือสื่อที่ชวนเล่นการพนันออนไลน์
2.3 การคุกคามโดยใช้โปรแกรม (มัลแวร์)
มัลแวร์เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อรบกวนหรือทำลายระบบ รวมถึงการขโมยข้อมูล เช่น
- ไวรัสคอมพิวเตอร์: แพร่ไปกับไฟล์ เช่น ไฟล์เอกสารที่เปิดแล้วติดไวรัส
- เวิร์ม (Worm): กระจายตัวเองทางเครือข่าย เช่น ส่งผ่านอีเมลโดยอัตโนมัติ
- ประตูลับ (Backdoor): ช่องทางลับให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาควบคุมระบบ เช่น การแอบเปิดพอร์ตในคอมพิวเตอร์
- ม้าโทรจัน (Trojan Horse): แฝงมาในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย เช่น เกมหรือแอปที่ซ่อนโค้ดอันตราย
- ระเบิดเวลา (Logic Bomb): โค้ดที่ถูกตั้งเวลา เช่น ลบไฟล์เมื่อถึงวันที่กำหนด
- โปรแกรมดักจับข้อมูล (Spyware/Keylogger): แอบบันทึกข้อมูล เช่น การพิมพ์รหัสผ่าน
- โปรแกรมโฆษณา (Adware): แสดงโฆษณารบกวน เช่น ป๊อปอัปโฆษณาที่ขึ้นตลอดเวลา
- โปรแกรมเรียกค่าไถ่ (Ransomware): เข้ารหัสไฟล์และเรียกเงินเพื่อปลดล็อก เช่น ล็อกไฟล์งานเอกสารแล้วขอเงินเป็นบิตคอยน์
3) วิธีป้องกันภัยคุกคาม
การป้องกันภัยคุกคามควรใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อให้การป้องกันรัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.1 การตรวจสอบสิ่งที่ผู้ใช้รู้ (Something you know)
คือการใช้รหัสผ่านหรือข้อมูลที่ผู้ใช้จำได้ เช่น รหัสผ่าน PIN หรือคำถามลับ
3.2 การตรวจสอบสิ่งที่ผู้ใช้มี (Something you have)
คือการยืนยันตัวตนด้วยสิ่งที่ครอบครอง เช่น โทรศัพท์มือถือที่รับรหัส OTP บัตรสมาร์ตการ์ด หรือโทเคนความปลอดภัย
3.3 การตรวจสอบสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้ (Something you are)
คือการใช้ข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า หรือการสแกนม่านตา
4) ข้อแนะนำในการตั้งรหัสและใช้งานรหัสผ่าน
การตั้งรหัสผ่านที่ดีเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามด่านแรกที่ผู้ใช้ควรใส่ใจ คำแนะนำมีดังนี้
- ตั้งรหัสผ่านยาวพอ (อย่างน้อย 8–12 ตัวอักษร)
- ผสมตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์
- หลีกเลี่ยงข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิดหรือเบอร์โทรศัพท์
- เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะ และไม่ใช้รหัสซ้ำกันทุกบัญชี
- ไม่บอกรหัสผ่านให้ใคร และไม่บันทึกในที่ที่ไม่ปลอดภัย
สรุป
ภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีอาจเกิดได้หลายรูปแบบ ทั้งจากการหลอกลวงทางจิตวิทยา เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และมัลแวร์ การรู้เท่าทันและใช้มาตรการป้องกัน เช่น การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน และการตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม จะช่วยให้การใช้งานเทคโนโลยีปลอดภัยมากขึ้น