คู่มือการเขียนรายงานโครงงาน

การทำโครงงานเป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาให้นักเรียนได้ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจริง รวมทั้งสร้างผลงานที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ รายงานโครงงานจึงมีความสำคัญในฐานะเอกสารที่สะท้อนขั้นตอน ความพยายาม และผลสำเร็จของโครงงานนั้น ๆ

การเขียนรายงานโครงงานมีรูปแบบและโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้นักเรียนสามารถนำเสนอข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและเข้าใจง่าย รายงานที่สมบูรณ์ควรประกอบด้วย ส่วนต้น (บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ คำนำ สารบัญ) ส่วนเนื้อหา (5 บทหลัก) และส่วนท้าย (บรรณานุกรม ภาคผนวก)

ต้นฉบับ รายงานโครงงาน (ดาวน์โหลด)

1. ปก

ความสำคัญ:
ปกคือหน้าตาของรายงาน ต้องเขียนให้ครบถ้วนและเป็นทางการ โดยทั่วไปประกอบด้วย

  • ชื่อโครงงาน (ควรสื่อถึงสิ่งที่ทำชัดเจน เช่น “ระบบเปิด–ปิดไฟอัตโนมัติด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว”)
  • รายชื่อผู้จัดทำ (ชื่อนักเรียน 3 คน พร้อมชั้นและเลขที่)
  • ชื่อครูที่ปรึกษา
  • วิชา/รหัสวิชา
  • โรงเรียน
  • ภาคเรียนและปีการศึกษา

ตัวอย่างการเขียนปก:

โครงงาน “ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติด้วย Arduino Nano”

ผู้จัดทำ

  1. นายก้องภพ ………… ชั้น ม.4/2 เลขที่ 12
  2. นายธีรภัทร ………… ชั้น ม.4/2 เลขที่ 15
  3. นายศุภณัฐ ………… ชั้น ม.4/2 เลขที่ 18

ครูที่ปรึกษาโครงงาน
นายวรวิทย์ ไชยวงศ์คต

เอกสารฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
รายวิชา ว31108 วิทยาการคำนวณ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรียนเจริญศิลป์ศึกษา “โพธิ์คำอนุสรณ์”
ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568


2. บทคัดย่อ

ความสำคัญ:
บทคัดย่อคือการสรุปโครงงานทั้งหมดให้อยู่ในหน้านี้เพียงหน้าเดียว เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมทันที จึงต้องกระชับและครบถ้วน

สิ่งที่ต้องมีในบทคัดย่อ (5 ส่วน):

  1. ความเป็นมาและความสำคัญ (เหตุผลที่ทำโครงงาน)
  2. วัตถุประสงค์ (เขียนเป็นข้อ ๆ ได้ แต่รวมให้อยู่ในย่อหน้าเดียว)
  3. วิธีดำเนินงาน (อุปกรณ์ที่ใช้ และขั้นตอนหลัก ๆ)
  4. ผลการดำเนินงาน (สิ่งที่ได้จากการทดลอง)
  5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ตัวอย่างบทคัดย่อ:
โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติที่สามารถทำงานเองเมื่อดินแห้ง 2) ลดการสิ้นเปลืองน้ำจากการรดน้ำมากเกินไป และ 3) ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมและวงจรอิเล็กทรอนิกส์แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยดำเนินการตามหลักการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Life Cycle – SDLC) เริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหา ออกแบบวงจรและโปรแกรม เขียนโค้ดด้วย Arduino IDE และทดสอบการทำงานจริง

โครงงานใช้ Arduino Nano เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์วัดความชื้นในดินและรีเลย์ควบคุมปั๊มน้ำ ผลการดำเนินงานพบว่าระบบสามารถตรวจจับความชื้นและสั่งงานปั๊มน้ำได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ทำให้ต้นไม้ได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในครัวเรือนหรือแปลงเกษตรขนาดเล็ก


3. กิตติกรรมประกาศ

ความสำคัญ:
เป็นการกล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้โครงงานสำเร็จ เช่น ครูที่ปรึกษา เพื่อนร่วมชั้น ผู้ปกครอง หรือหน่วยงานที่สนับสนุน

โครงสร้าง:

  • ขอบคุณครูที่ปรึกษา
  • ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ
  • กล่าวถึงข้อบกพร่องที่อาจมี และน้อมรับข้อเสนอแนะ
  • ลงท้ายด้วยความหวังว่ารายงานจะเป็นประโยชน์

ตัวอย่างกิตติกรรมประกาศ:
รายงานโครงงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในรายวิชา ว31108 วิทยาการคำนวณ คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณ นายวรวิทย์ ไชยวงศ์คต ครูที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้ให้คำแนะนำและกำลังใจตลอดการทำโครงงาน นอกจากนี้ยังขอขอบคุณเพื่อนนักเรียนและผู้ปกครองที่ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ

แม้คณะผู้จัดทำจะพยายามทำโครงงานอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่อาจมีข้อผิดพลาดบางประการ หากได้รับข้อเสนอแนะใด ๆ คณะผู้จัดทำยินดีน้อมรับเพื่อนำไปปรับปรุงในอนาคต

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา และสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ Arduino Nano แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้จริง


4. คำนำ

ความสำคัญ:
คำนำต่างจากบทคัดย่อ เพราะเป็นการเกริ่นนำถึงความตั้งใจและเป้าหมายของผู้จัดทำ อธิบายว่าโครงงานนี้จัดทำขึ้นเพื่ออะไร และคาดหวังผลอย่างไร

สิ่งที่ควรมีในคำนำ:

  • รายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด
  • จุดประสงค์ของการทำรายงาน (ฝึกใช้ Arduino, ฝึกการเขียนรายงาน, ทำงานเป็นทีม)
  • ชื่อโครงงานและสิ่งที่เลือกทำ
  • การแสดงความหวังว่าผลงานจะเป็นประโยชน์

ตัวอย่างคำนำ:
รายงานโครงงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ว31108 วิทยาการคำนวณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกการนำความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมด้วย Arduino Nano มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ตลอดจนฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การวิเคราะห์เชิงระบบ และการนำเสนอผลในรูปแบบเอกสารทางวิชาการ

คณะผู้จัดทำได้เลือกดำเนินโครงงานเรื่อง “ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติด้วย Arduino Nano” โดยใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดินร่วมกับรีเลย์และปั๊มน้ำเพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบระบบอัตโนมัติที่สามารถทำงานได้จริง โครงงานนี้ไม่เพียงเป็นการเรียนรู้ทางทฤษฎี แต่ยังเป็นการฝึกแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผล

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษา และสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาโครงงานอื่น ๆ ได้ หากมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น คณะผู้จัดทำขอน้อมรับไว้เพื่อปรับปรุงแก้ไขในอนาคต


5. สารบัญ

ความสำคัญ:
สารบัญช่วยให้ผู้อ่านเห็นโครงสร้างทั้งหมดของรายงานและสามารถค้นหาส่วนที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

โครงสร้างสารบัญมาตรฐาน:

  • บทคัดย่อ
  • กิตติกรรมประกาศ
  • คำนำ
  • สารบัญ
  • บทที่ 1 บทนำ
    • 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของโครงงาน
    • 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน
    • 1.3 ขอบเขตของโครงงาน
    • 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
  • บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
  • บทที่ 3 วิธีดำเนินการโครงงาน
    • 3.1 อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้
    • 3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน
    • 3.3 แผนภาพวงจร
  • บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน
  • บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
  • บรรณานุกรม
  • ภาคผนวก

หมายเหตุ: ควรระบุเลขหน้าของแต่ละหัวข้อให้ตรงกับเนื้อหาจริง

บทที่ 1 บทนำ

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของโครงงาน

สิ่งที่ควรเขียน:

  • เริ่มด้วยการบอก “ปัญหา” หรือ “สถานการณ์จริง” ที่ทำให้ต้องคิดทำโครงงานนี้
  • ขยายความว่าปัญหานี้สำคัญอย่างไร ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน/การเรียน/สังคมอย่างไร
  • เชื่อมโยงว่าทำไมถึงเลือกใช้เทคโนโลยี (เช่น Arduino Nano และเซ็นเซอร์) มาแก้ปัญหานี้

ตัวอย่าง:
ในชีวิตประจำวันของนักเรียนและครอบครัว มักพบปัญหาการสิ้นเปลืองพลังงานจากการลืมปิดไฟภายในห้องเรียนหรือห้องนอน เมื่อไม่มีผู้ใช้งานอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า ดังนั้น การพัฒนาระบบเปิด–ปิดไฟอัตโนมัติด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้


1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน

สิ่งที่ควรเขียน:

  • เขียนเป็นข้อ ๆ ชัดเจน 2–4 ข้อ
  • แต่ละข้อควรเป็นสิ่งที่ “ทำได้จริง”

ตัวอย่าง:

  1. เพื่อออกแบบและสร้างวงจรควบคุมการเปิด–ปิดไฟอัตโนมัติด้วย Arduino Nano
  2. เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าจากการลืมปิดไฟ
  3. เพื่อให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในการแก้ปัญหาจริง

1.3 ขอบเขตของโครงงาน

สิ่งที่ควรเขียน:

  • กำหนดว่าโครงงานนี้ “ครอบคลุมแค่ไหน” เพื่อให้ไม่กว้างเกินไป
  • แบ่งเป็น 3 ส่วน:
    • ด้านอุปกรณ์: ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง
    • ด้านซอฟต์แวร์: ใช้โปรแกรมใดในการเขียนโค้ด
    • ด้านการใช้งาน: ทดลองใช้งานในสถานการณ์แบบใด

ตัวอย่าง:

  • ขอบเขตด้านอุปกรณ์: ใช้ Arduino Nano เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ ร่วมกับ PIR Sensor และ Relay Module
  • ขอบเขตด้านซอฟต์แวร์: ใช้ Arduino IDE ในการเขียนโปรแกรมและอัปโหลดโค้ด
  • ขอบเขตด้านการใช้งาน: ระบบนี้ถูกออกแบบให้ใช้ในห้องเรียนหรือห้องพัก ไม่ได้ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่กว้าง เช่น อาคารทั้งหลัง

1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

สิ่งที่ควรเขียน:

  • ประโยชน์เชิงปฏิบัติ (ใช้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างไร)
  • ประโยชน์เชิงการเรียนรู้ (นักเรียนได้ทักษะอะไรเพิ่มขึ้น)

ตัวอย่าง:

  1. สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่าย และลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร
  2. ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมปิดไฟ
  3. ผู้จัดทำโครงงานได้ฝึกทักษะการเขียนโปรแกรม คิดวิเคราะห์ และออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์
  4. โครงงานนี้สามารถเป็นแนวทางให้เพื่อนนักเรียนพัฒนาต่อยอดไปสู่ระบบควบคุมอื่น ๆ ได้ เช่น การควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตโนมัติ

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

2.1 หลักการทำงานของ Arduino Nano

สิ่งที่ควรเขียน:

  • แนะนำว่า Arduino Nano คืออะไร เป็นบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา
  • ใช้ชิป ATmega328P เป็นตัวประมวลผล
  • มีขา Digital, Analog, ขาไฟเลี้ยง 5V/3.3V ใช้สำหรับต่อเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
  • ใช้ซอฟต์แวร์ Arduino IDE ในการเขียนโปรแกรม

ตัวอย่าง:
Arduino Nano เป็นบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในงานทดลองและโครงงานอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากมีขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา และใช้งานง่าย โดยใช้ชิป ATmega328P เป็นหน่วยประมวลผลหลัก รองรับการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์และอุปกรณ์เอาต์พุตหลากหลายชนิด การเขียนโปรแกรมควบคุมบอร์ดสามารถทำได้ผ่าน Arduino IDE ซึ่งรองรับภาษา C/C++ ที่มีคำสั่งพื้นฐานเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นไปจนถึงผู้ที่ต้องการสร้างนวัตกรรมต้นแบบ


2.2 หลักการทำงานของอุปกรณ์/เซ็นเซอร์ที่ใช้

สิ่งที่ควรเขียน:

  • ระบุอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ที่ใช้ในโครงงาน เช่น PIR Sensor, Relay Module, LED, Buzzer หรืออื่น ๆ
  • อธิบายการทำงานของแต่ละตัว

ตัวอย่าง:

  • PIR Sensor: เป็นเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับความเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของรังสีอินฟราเรด เมื่อมีคนหรือสิ่งมีชีวิตเคลื่อนผ่าน เซ็นเซอร์จะส่งสัญญาณไปยัง Arduino
  • Relay Module: เป็นสวิตช์ไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยสัญญาณจาก Arduino ใช้สำหรับต่อกับอุปกรณ์ที่ใช้ไฟแรงดันสูง เช่น หลอดไฟหรือปั๊มน้ำ
  • LED: ใช้แสดงสถานะการทำงานของระบบ เช่น ไฟติดเมื่อระบบทำงาน ไฟดับเมื่อระบบหยุดทำงาน

2.3 งานวิจัย/โครงงานที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ควรเขียน:

  • ยกตัวอย่างโครงงานหรือบทความที่คล้ายคลึงกัน เช่น ระบบไฟอัตโนมัติ ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ หรือระบบกันขโมย
  • บอกว่ามีความใกล้เคียงหรือนำมาเป็นแรงบันดาลใจได้อย่างไร

ตัวอย่าง:
มีงานวิจัยและโครงงานหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Arduino ควบคุมการทำงานอัตโนมัติ เช่น

  • “โครงงานระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติในห้องเรียน” ใช้ PIR Sensor ควบคุมหลอดไฟเมื่อมีนักเรียนเข้า–ออกห้อง
  • “โครงงานระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ” ใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นดินเพื่อควบคุมการเปิด–ปิดปั๊มน้ำ
  • “โครงงานระบบแจ้งเตือนการบุกรุกด้วย Buzzer” ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและส่งสัญญาณเสียงเตือน

จากงานที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า Arduino Nano และเซ็นเซอร์สามารถนำมาประยุกต์แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น

บทที่ 3 วิธีดำเนินการโครงงาน

โครงงานนี้ดำเนินงานตามหลักการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Development Life Cycle – SDLC) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา (Analysis), การออกแบบ (Design), การพัฒนา/เขียนโปรแกรม (Implementation), การทดสอบ (Testing) และการบำรุงรักษา/ปรับปรุง (Maintenance) โดยมีรายละเอียดดังนี้


3.1 อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้

  1. Arduino Nano จำนวน 1 บอร์ด
  2. PIR Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว) จำนวน 1 ตัว
  3. Relay Module จำนวน 1 ตัว
  4. หลอดไฟ LED 220V จำนวน 1 ดวง
  5. Breadboard และสาย Jumper จำนวน 1 ชุด
  6. โปรแกรม Arduino IDE สำหรับเขียนและอัปโหลดโค้ด

3.2 ขั้นตอนการดำเนินงานตาม SDLC

ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหา (Analysis)

  • ศึกษาปัญหาการสิ้นเปลืองพลังงานจากการลืมปิดไฟ
  • กำหนดความต้องการของระบบ เช่น “ไฟต้องเปิดอัตโนมัติเมื่อมีคนเดินผ่าน” และ “ไฟดับอัตโนมัติเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหว”

ตัวอย่างการเขียน:
จากการสำรวจ พบว่านักเรียนมักลืมปิดไฟห้องเรียนเมื่อเลิกเรียน ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ดังนั้นระบบที่ออกแบบต้องสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติและช่วยลดปัญหาดังกล่าว


ขั้นที่ 2 การออกแบบระบบ (Design)

  • วาดแผนภาพวงจรการเชื่อมต่อ Arduino Nano, PIR Sensor, Relay และหลอดไฟ
  • ออกแบบโครงสร้างโปรแกรม (Flowchart/Algorithm)

ตัวอย่างการออกแบบวงจร:

  • VCC ของ PIR → 5V ของ Arduino
  • GND ของ PIR → GND ของ Arduino
  • OUT ของ PIR → ขา Digital 2 ของ Arduino
  • IN ของ Relay → ขา Digital 3 ของ Arduino
  • Relay ควบคุมหลอดไฟ 220V

ขั้นที่ 3 การพัฒนา/เขียนโปรแกรม (Implementation)

  • เขียนโปรแกรมบน Arduino IDE ให้ Arduino รับสัญญาณจาก PIR Sensor และควบคุม Relay เพื่อเปิด–ปิดไฟ
  • ตัวอย่างโค้ด:
int pirPin = 2;    
int relayPin = 3;  

void setup() {
  pinMode(pirPin, INPUT);
  pinMode(relayPin, OUTPUT);
}

void loop() {
  int motion = digitalRead(pirPin);
  if (motion == HIGH) {
    digitalWrite(relayPin, HIGH);  // เปิดไฟ
  } else {
    digitalWrite(relayPin, LOW);   // ปิดไฟ
  }
}

ขั้นที่ 4 การทดสอบระบบ (Testing)

  • ทดลองเดินผ่าน PIR Sensor และสังเกตการทำงานของไฟ
  • บันทึกผล เช่น เวลาตอบสนอง ความเสถียรของเซ็นเซอร์
  • ตรวจสอบความถูกต้องตามวัตถุประสงค์

ตัวอย่างการบันทึกผล:
เมื่อเดินผ่านไฟจะติดทันที และดับหลังจากไม่มีการเคลื่อนไหวประมาณ 5 วินาที ระบบทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้


ขั้นที่ 5 การบำรุงรักษา/ปรับปรุง (Maintenance)

  • วิเคราะห์ข้อบกพร่อง เช่น เซ็นเซอร์อาจจับผิดพลาดเมื่อมีวัตถุร้อนผ่าน
  • แนวทางแก้ไข เช่น ปรับค่า delay, ใช้เซ็นเซอร์ร่วมกับอุปกรณ์อื่น
  • เสนอแนวทางพัฒนา เช่น ทำให้ระบบเชื่อมต่อ IoT ควบคุมผ่านมือถือได้

3.3 แผนภาพวงจร

(นักเรียนวาดแผนภาพวงจร หรือใช้โปรแกรม Wokwi/Fritzing ใส่เป็นภาพประกอบในรายงาน พร้อมคำอธิบายการเชื่อมต่อแต่ละขา)

บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน

สิ่งที่นักเรียนควรเขียน:

  • อธิบายผลการทดลองการทำงานของระบบที่สร้างขึ้น
  • ใส่ภาพประกอบวงจรจริงหรือจาก Wokwi
  • ระบุปัญหาและการแก้ไข

4.1 ผลการทดลองทำงานของวงจร

เขียนบรรยายว่าโครงงานที่สร้างสามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบหรือไม่

  • อธิบายขั้นตอนการทดลอง เช่น เปิดเครื่อง → เซ็นเซอร์ตรวจจับ → Arduino ประมวลผล → Relay เปิด/ปิดไฟ
  • ระบุผลที่เกิดขึ้น เช่น เวลาตอบสนอง ความถูกต้อง ความเสถียร

ตัวอย่าง:
เมื่อทดสอบระบบโดยให้ผู้ใช้เดินผ่านหน้าห้องเรียน เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวสามารถส่งสัญญาณไปยัง Arduino Nano ได้ทันที จากนั้น Arduino สั่ง Relay ให้ทำงาน ทำให้หลอดไฟติดขึ้น และเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วินาที ระบบจะสั่งปิดไฟอัตโนมัติ การทำงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้


4.2 รูปภาพแสดงผลการทำงาน

  • ใส่รูปวงจรจริง/รูปจำลอง
  • อธิบายภาพใต้ตารางหรือรูป

ตัวอย่างคำอธิบายใต้ภาพ:
“ภาพที่ 4.1 การเชื่อมต่อวงจรระบบเปิด–ปิดไฟอัตโนมัติด้วย Arduino Nano และ PIR Sensor”
“ภาพที่ 4.2 แสดงสถานการณ์เมื่อมีคนเดินผ่านไฟจะติดอัตโนมัติ”


4.3 ปัญหาและแนวทางแก้ไข

นักเรียนควรเขียนว่าพบปัญหาอะไรบ้างระหว่างทำงาน เช่น

  • ปัญหาด้านวงจร → สายไฟหลุดง่าย, ขาดการเชื่อมต่อ
  • ปัญหาด้านเซ็นเซอร์ → ตรวจจับผิดพลาดเมื่อมีสิ่งร้อนผ่าน
  • ปัญหาด้านโปรแกรม → คำสั่งไม่ทำงานตามที่ตั้งใจ

ตัวอย่าง:

  1. ปัญหา: PIR Sensor ตรวจจับช้าในบางครั้ง
    แนวทางแก้ไข: ปรับค่า delay ในโปรแกรมเพื่อเพิ่มเสถียรภาพ
  2. ปัญหา: Relay มีเสียงดังเมื่อสั่งงานบ่อย
    แนวทางแก้ไข: ใช้วงจรกรองหรือเพิ่มเวลาหน่วงการทำงาน

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

สิ่งที่นักเรียนควรเขียน:

  • สรุปผล: สรุปสั้น ๆ ว่าได้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่
  • อภิปรายผล: วิเคราะห์ผลการทำงาน เปรียบเทียบกับที่คาดหวัง หรืออธิบายข้อดี–ข้อเสีย
  • ข้อเสนอแนะ: แนวทางพัฒนาต่อยอด

5.1 สรุปผลโครงงาน

ตัวอย่าง:
จากการดำเนินโครงงาน “ระบบเปิด–ปิดไฟอัตโนมัติด้วยเซ็นเซอร์” พบว่าระบบสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวและสั่งเปิดไฟได้ตามที่ออกแบบไว้ เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่กำหนด ระบบสามารถปิดไฟอัตโนมัติได้ ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งสามข้อที่กำหนดไว้


5.2 อภิปรายผล

สิ่งที่ควรมี:

  • วิเคราะห์ว่าโครงงานตรงกับความต้องการจริงหรือไม่
  • มีข้อจำกัดอะไร
  • ทำไมถึงได้ผลแบบนี้

ตัวอย่าง:
ระบบสามารถทำงานได้ตรงตามที่ออกแบบ แต่ยังมีข้อจำกัดคือ PIR Sensor ไม่สามารถตรวจจับได้แม่นยำหากผู้ใช้งานอยู่นิ่งเป็นเวลานาน นอกจากนี้ระบบยังใช้ได้เฉพาะในห้องขนาดเล็ก หากใช้ในพื้นที่กว้างอาจต้องติดตั้งเซ็นเซอร์หลายจุดเพื่อความครอบคลุม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการใช้ Arduino Nano กับเซ็นเซอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าได้จริง


5.3 ข้อเสนอแนะ

สิ่งที่ควรเขียน:

  • แนวทางพัฒนาโครงงานต่อในอนาคต

ตัวอย่าง:

  1. พัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth เพื่อควบคุมไฟได้จากระยะไกล
  2. เพิ่มเซ็นเซอร์แสง (LDR) เพื่อตรวจสอบระดับความสว่างภายนอก หากมีแสงเพียงพอจะไม่เปิดไฟโดยไม่จำเป็น
  3. ปรับปรุงระบบให้สามารถประยุกต์ใช้กับอาคารทั้งหลัง โดยเพิ่มจำนวนเซ็นเซอร์และควบคุมหลายห้องพร้อมกัน

บรรณานุกรม

ความสำคัญ:
บรรณานุกรมคือการแสดงที่มาของข้อมูลที่นักเรียนใช้ประกอบการเขียนรายงาน ทั้งจากหนังสือ เว็บไซต์ หรือเอกสารวิชาการ เพื่อให้รายงานน่าเชื่อถือและเป็นไปตามหลักวิชาการ

หลักการเขียนบรรณานุกรม:

  • ต้องเขียนครบถ้วนทุกแหล่งอ้างอิงที่ใช้จริง
  • รูปแบบต้องเหมือนกันทั้งเล่ม (ครูอาจกำหนดรูปแบบ APA, IEEE หรือรูปแบบไทย)
  • ถ้าเป็นเว็บไซต์ ควรมีชื่อเรื่อง ปีพิมพ์ และ URL
  • ถ้าเป็นหนังสือ ควรมีชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์ ชื่อหนังสือ สำนักพิมพ์

ตัวอย่าง (รูปแบบไทย):

  1. วรวิทย์ ไชยวงศ์คต. (2567). คู่มือการเขียนโปรแกรม Arduino เบื้องต้น. โรงเรียนเจริญศิลป์ศึกษา.
  2. Arduino. (2024). Arduino Nano Documentation. สืบค้นจาก https://www.arduino.cc/
  3. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน. (2566). แนวทางการประหยัดพลังงานไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: กระทรวงพลังงาน.

ตัวอย่าง (รูปแบบ APA):

  • Warawit Chaiwongkot. (2024). Arduino Nano programming handbook. Charoensin School Press.
  • Arduino. (2024). Arduino Nano Documentation. Retrieved from https://www.arduino.cc/

ภาคผนวก

ความสำคัญ:
ภาคผนวกเป็นส่วนที่รวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานเพิ่มเติมซึ่งไม่ควรใส่ไว้ในเนื้อหาหลัก เช่น โค้ดเต็มของโปรแกรม ตารางผลการทดลอง หรือแผนภาพวงจร

สิ่งที่ควรมีในภาคผนวก:

  • ภาคผนวก ก: โค้ดโปรแกรม Arduino ทั้งหมด
  • ภาคผนวก ข: แผนภาพวงจรไฟฟ้าที่ใช้ในโครงงาน
  • ภาคผนวก ค: ตารางบันทึกผลการทดลอง เช่น เวลาที่ไฟเปิด–ปิด การทำงานซ้ำหลายครั้ง
  • ภาคผนวก ง: ภาพถ่ายการทดลองจริง

ตัวอย่าง:


ภาคผนวก ก

โค้ดโปรแกรม Arduino

int pirPin = 2;    
int relayPin = 3;  

void setup() {
  pinMode(pirPin, INPUT);
  pinMode(relayPin, OUTPUT);
}

void loop() {
  int motion = digitalRead(pirPin);
  if (motion == HIGH) {
    digitalWrite(relayPin, HIGH);  // เปิดไฟ
  } else {
    digitalWrite(relayPin, LOW);   // ปิดไฟ
  }
}

ภาคผนวก ข

แผนภาพวงจรไฟฟ้า
(นักเรียนวาดหรือใช้โปรแกรม Wokwi/Fritzing แล้วใส่เป็นภาพประกอบ)


ภาคผนวก ค

ตารางผลการทดลอง

ครั้งที่ทดลองมีคนเดินผ่านไฟติด/ดับเวลาตอบสนองหมายเหตุ
1เดินผ่านเร็วไฟติดทันที1 วินาทีทำงานถูกต้อง
2ยืนนิ่งนานไฟดับหลัง 10 วินาที10 วินาทีทำงานถูกต้อง

ภาคผนวก ง

ภาพถ่ายการทดลองจริง
(นักเรียนถ่ายภาพวงจรและระบบที่ประกอบเสร็จแล้วแนบลงในรายงาน)

สรุป

การทำโครงงานและการเขียนรายงานโครงงาน ไม่ได้เป็นเพียงภาระงานที่นักเรียนต้องส่งในรายวิชาเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาทักษะหลายด้านพร้อมกัน นักเรียนจะได้ฝึก การคิดวิเคราะห์ปัญหา, การออกแบบเชิงระบบ, การเขียนโปรแกรมและประกอบวงจร, การทำงานเป็นทีม, รวมทั้ง การสื่อสารทางวิชาการ ผ่านการจัดทำรายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร

รายงานโครงงานที่สมบูรณ์ควรมีทั้ง ส่วนต้น (ปก, บทคัดย่อ, กิตติกรรมประกาศ, คำนำ, สารบัญ), ส่วนเนื้อหา 5 บทหลัก (บทนำ, เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง, วิธีดำเนินการ, ผลการดำเนินงาน, สรุปและข้อเสนอแนะ) และ ส่วนท้าย (บรรณานุกรม, ภาคผนวก) ทุกหัวข้อมีหน้าที่ของมันเอง และเมื่อประกอบกันจึงทำให้รายงานมีความครบถ้วนทางวิชาการ

การเขียนรายงานโครงงานจึงเป็นการฝึกให้นักเรียน นำเสนอผลงานอย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนในระดับที่สูงขึ้น เช่น มหาวิทยาลัย หรือการทำวิจัยในอนาคต

ท้ายที่สุดนี้ ครูอยากให้นักเรียนทุกคนตระหนักว่า “โครงงาน” ไม่ได้วัดกันที่ความยากง่ายของสิ่งที่สร้างเท่านั้น แต่ยังวัดกันที่กระบวนการทำงาน การร่วมมือกัน และการถ่ายทอดความรู้ที่ได้ลงในรายงานอย่างเป็นระบบ หากนักเรียนสามารถทำรายงานโครงงานได้สมบูรณ์ ก็ถือว่าได้ก้าวไปอีกขั้นในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง