การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ในปัจจุบันมีข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเข้านอน ซึ่งอาจมาในรูปแบบของการใช้สมาร์ตโฟน เครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ และมีข้อมูลเป็นจำนวนมากที่เราต้องพิจารณาในแต่ละวัน ดังนั้น ในการที่เราจะใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการเรียน การทำงาน หรือการตัดสินใจในสิ่งต่างๆ เราต้องพิจารณาความถูกต้องของข้อมูล โดยต้องเป็นข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความถูกต้องสมบูรณ์ สอดคล้องกับความต้องการและมีความทันสมัย ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เรานิยมใช้หลักการต่อไปนี้

  • การนำเสนอ (P : Presentation) อ่านว่า เพร-เซน-เท-ชั่น
  • ความสัมพันธ์ (R : Relevance) อ่านว่า เร-เล-เวนซ์
  • วัตถุประสงค์ (O : Objectivity) อ่านว่า อ็อบ-เจค-ทิ-วิ-ดิ
  • วิธีการ (M : Method) อ่านว่า เม-เติด
  • แหล่งที่มา (P : Provenance) อ่านว่า โพร-เวน-แนนซ์
  • เวลา (T : Timeliness) อ่านว่า ทาม-ลิ-เนส

การนำเสนอ (P : Presentation)

ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจำเป็นต้องมีการนำเสนอที่ดี เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังสามารถเข้าใจและเชื่อมั่นในข้อมูลได้ โดยควรพิจารณาประเด็นดังนี้:

1) มีโครงเรื่องเหมาะสม
ข้อมูลที่ดีควรมีการจัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเกริ่นนำ การอธิบายเนื้อหา และการสรุป ตัวอย่างเช่น ในการนำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของการออกกำลังกายต่อสุขภาพจิต” ควรเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหา ตามด้วยข้อมูลสนับสนุน และจบด้วยผลสรุปที่ชัดเจน

2) มีรายละเอียดชัดเจน ไม่คลุมเครือ
ข้อมูลควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น การระบุปริมาณตัวเลขที่แน่นอนแทนการใช้คำกว้าง ๆ เช่น “มาก” หรือ “น้อย” ตัวอย่างเช่น การบอกว่า “จากการวิจัย พบว่าการออกกำลังกายลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ถึง 30%” ชัดเจนกว่าการกล่าวว่า “การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ”

3) ใช้ภาษาและสำนวนถูกต้อง
การเลือกใช้คำที่เหมาะสมและตรวจสอบความถูกต้องของการสะกดคำหรือไวยากรณ์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น บทความทางวิชาการควรใช้ภาษาที่เป็นทางการ ในขณะที่บทความเชิงให้คำแนะนำทั่วไปอาจใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย

4) ข้อมูลตรงตามที่เราต้องการ
การนำเสนอควรมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของผู้อ่าน เช่น หากต้องการทราบผลการวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพ ควรนำเสนอข้อมูลจากงานวิจัยโดยตรง แทนที่จะนำเสนอความคิดเห็นของบุคคล

5) เนื้อหากระชับ
การเขียนที่กระชับช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การนำเสนอข้อมูลสถิติสำคัญในรูปแบบกราฟหรือแผนภาพ แทนการเขียนคำอธิบายยาว ๆ

6) สามารถจับใจความสำคัญได้
เนื้อหาควรมีการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล เช่น การเน้นตัวหนาในส่วนที่สำคัญ หรือการแยกหัวข้อย่อยให้ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถสรุปใจความได้ง่ายขึ้น


ข้อมูลที่น่าเชื่อถือควรมีความสัมพันธ์หรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลที่เหมาะสมอาจเป็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น UN หรือ IPCC ไม่ใช่บทความความคิดเห็นในบล็อกส่วนตัวที่ขาดการอ้างอิง

ตัวอย่างเพิ่มเติม: หากนักเรียนต้องการศึกษาเรื่องผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อวัยรุ่น การอ้างอิงจากงานวิจัยในวารสารจิตวิทยาหรือผลสำรวจจากองค์กรที่เกี่ยวข้องจะมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลจากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเอง


ข้อมูลที่น่าเชื่อถือควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและไม่แสดงเจตนาแอบแฝง ตัวอย่างเช่น รายงานผลการวิจัยที่มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยปราศจากการใส่ความคิดเห็นส่วนตัวจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าบทความที่มีจุดมุ่งหมายในการโฆษณาสินค้าแอบแฝง

ตัวอย่างเพิ่มเติม: หากบทความอ้างว่าการบริโภควิตามินซีช่วยรักษาโรคหวัด แต่เขียนขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตวิตามินซีโดยไม่มีการอ้างอิงงานวิจัย นั่นอาจบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือ


ข้อมูลที่น่าเชื่อถือควรมาจากการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ที่มีระบบ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่มีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างชัดเจน มีขั้นตอนการทดลอง และมีการวิเคราะห์เชิงสถิติจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลที่มาจากการคาดเดาหรือประสบการณ์ส่วนตัว

ตัวอย่างเพิ่มเติม: การสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการใช้พลังงานทดแทน ควรระบุขนาดกลุ่มตัวอย่างและวิธีการเก็บข้อมูล เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) หรือการใช้แบบสอบถามออนไลน์


ข้อมูลที่น่าเชื่อถือควรมีการระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจน เช่น ชื่อผู้เขียน วันที่เผยแพร่ และแหล่งข้อมูลต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น บทความวิชาการในวารสารที่มีการระบุชื่อผู้เขียน พร้อมชื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่เกี่ยวข้อง จะน่าเชื่อถือกว่าบทความที่ไม่ระบุแหล่งที่มาเลย

ตัวอย่างเพิ่มเติม: หากบทความระบุว่า “การสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง” แต่ไม่มีการอ้างอิงงานวิจัยสนับสนุน ข้อมูลดังกล่าวอาจขาดความน่าเชื่อถือ


ข้อมูลที่น่าเชื่อถือควรมีความเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ข้อมูลทางเทคโนโลยีหรือสุขภาพ ตัวอย่างเช่น รายงานสถานการณ์โควิด-19 ควรอ้างอิงข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด ไม่ใช่ข้อมูลเมื่อสองปีที่แล้ว

ตัวอย่างเพิ่มเติม: หากคุณกำลังศึกษาผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน ข้อมูลจากปี 2020 อาจล้าสมัยเมื่อเทียบกับบทวิเคราะห์จากปี 2024


เมื่อเราต้องการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจหรือทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราสามารถใช้เกณฑ์การประเมิน PROMPT (Presentation, Relevance, Objectivity, Method, Provenance, Timeliness) ในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกณฑ์เหล่านี้ช่วยป้องกันการรับข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และช่วยให้การตัดสินใจของเรามีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น

นักเรียนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยประเด็นการพิจารณาของ PROMPT ได้จากเว็บไซต์ https://www.open.ac.uk/library/help-and-support/advanced-evaluation-using-prompt เพื่อเพิ่มพูนทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคต

ปัจจุบันเรามักใช้เว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการสืบค้น ดังนั้นเราจึงควรตรวจสอบความเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูลก่อน มิเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายได้ วิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล มีเทคนิคดังนี้

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูล

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การรับข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือการเผยแพร่ข่าวปลอม ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสังคมและตัวบุคคล ต่อไปนี้คือวิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล พร้อมคำอธิบายและตัวอย่างที่ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น

1. วัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูล

เว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลควรระบุวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลอย่างชัดเจน เช่น เว็บไซต์ข่าวควรระบุว่าเน้นการรายงานข่าวสารที่เป็นกลางและถูกต้อง หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับการศึกษาอาจมุ่งเน้นให้ความรู้และข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ขององค์กรอนามัยโลก (WHO) มีวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้เพื่อประโยชน์ของประชากรโลก

2. การนำเสนอเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์

เนื้อหาที่เผยแพร่ควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ หากเว็บไซต์เน้นการรายงานข่าวแต่กลับนำเสนอเนื้อหาที่มีลักษณะบิดเบือนหรือโฆษณาชวนเชื่อ ก็ควรตั้งข้อสงสัย ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ข่าวควรรายงานเหตุการณ์ตามข้อเท็จจริงและไม่แสดงความคิดเห็นที่มีอคติแฝง

3. ความถูกต้องตามกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรม

เนื้อหาในเว็บไซต์ควรสอดคล้องกับกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรมของสังคม ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลการแพทย์ควรมีการตรวจสอบข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันการให้คำแนะนำที่ผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้รับข้อมูล

4. การระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูล

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมักจะมีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลที่ชัดเจน พร้อมทั้งตำแหน่งหรือความเชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น บทความวิชาการบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยมักจะมีชื่อผู้เขียน พร้อมตำแหน่ง เช่น ศาสตราจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ

5. การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล

ข้อมูลที่เชื่อถือได้ควรมีการอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน เช่น หนังสือ งานวิจัย หรือเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่กล่าวถึงผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ควรมีการอ้างอิงชื่อวารสารวิจัยหรือนักวิจัยที่เกี่ยวข้อง

6. การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือมักจะมีลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลอื่นที่กล่าวถึงในบทความ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น บทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจอาจมีลิงก์ไปยังรายงานจากธนาคารโลกหรือ IMF

7. การระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูล

การระบุวันที่เผยแพร่ช่วยให้ผู้อ่านทราบถึงความทันสมัยของข้อมูล เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ควรมีวันที่อัปเดตล่าสุดเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นข้อมูลที่ทันเหตุการณ์

8. การให้ข้อมูลติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมักจะมีข้อมูลติดต่อ เช่น อีเมลหรือที่อยู่สำนักงาน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดต่อสอบถามหรือแสดงความคิดเห็น ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ข่าวสารที่มีมาตรฐานมักจะมีหน้าสำหรับติดต่อผู้ดูแลหรือบรรณาธิการ

9. การเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์ที่ให้โอกาสผู้อ่านแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย มักสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ข่าวที่มีพื้นที่สำหรับความคิดเห็นโดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานแสดงความคิดเห็นโดยสุภาพและไม่ละเมิดกฎหมาย

10. การเตือนให้ใช้วิจารณญาณ

แหล่งข้อมูลที่ดีมักจะมีข้อความเตือนให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ด้านสุขภาพอาจระบุว่า “ข้อมูลนี้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ”

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการรับข้อมูลที่ผิดพลาดและหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การเลือกใช้งานแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีความมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับwhois.domaintools.com/

คำถามสำหรับทบทวนเนื้อหา (20 ข้อ)

  1. PROMPT ย่อมาจากอะไรบ้าง?
    • คำตอบ: Presentation, Relevance, Objectivity, Method, Provenance, Timeliness
  2. เหตุใดโครงเรื่องที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อการนำเสนอข้อมูล?
    • คำตอบ: ช่วยให้เนื้อหามีลำดับที่เข้าใจง่าย ดึงดูดความสนใจ และช่วยให้ผู้รับสารจับประเด็นสำคัญได้
  3. คุณลักษณะของเนื้อหาที่มีรายละเอียดชัดเจนคืออะไร?
    • คำตอบ: มีการใช้ตัวเลขหรือข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และไม่มีการใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ
  4. การใช้ภาษาและสำนวนที่ถูกต้องช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้อย่างไร?
    • คำตอบ: ลดข้อผิดพลาดที่อาจทำให้ผู้รับสารเข้าใจผิด และสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของผู้เขียน
  5. ยกตัวอย่างข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
    • คำตอบ: ถ้าผู้ใช้ต้องการรู้ข้อมูลเศรษฐกิจ การรายงาน GDP หรือดัชนีราคาผู้บริโภคจะตรงกับความต้องการมากกว่าเนื้อหาเกี่ยวกับข่าวดารา
  6. เหตุใดเนื้อหากระชับจึงเป็นสิ่งสำคัญ?
    • คำตอบ: ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นหลักได้เร็วและลดการเสียเวลาอ่านข้อมูลที่ไม่จำเป็น
  7. Relevance ใน PROMPT หมายถึงอะไร?
    • คำตอบ: ความสัมพันธ์ของข้อมูลกับวัตถุประสงค์หรือความต้องการของผู้ใช้
  8. ข้อมูลแบบใดที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะขาด Objectivity?
    • คำตอบ: ข้อมูลที่แสดงความเห็นส่วนตัวมากเกินไปหรือมีเจตนาแอบแฝง เช่น โฆษณาสินค้าโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นโฆษณา
  9. การวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบสำคัญอย่างไร?
    • คำตอบ: ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และสามารถตรวจสอบได้
  10. Provenance ใน PROMPT หมายถึงอะไร?
    • คำตอบ: แหล่งที่มาของข้อมูล เช่น ชื่อผู้เขียนหรือเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูล
  11. เหตุใดแหล่งข้อมูลที่ไม่ระบุผู้เขียนจึงไม่น่าเชื่อถือ?
    • คำตอบ: เพราะไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือหรือความเชี่ยวชาญของผู้เขียนได้
  12. ยกตัวอย่างวิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูล
    • คำตอบ: ตรวจสอบว่ามีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน และมีลิงก์ไปยังต้นตอของข้อมูล
  13. Timeliness ใน PROMPT หมายถึงอะไร?
    • คำตอบ: ความทันสมัยหรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูล
  14. ข้อมูลเก่ามีผลเสียอย่างไรต่อการตัดสินใจ?
    • คำตอบ: อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดเพราะข้อมูลไม่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน
  15. ตัวอย่างของข้อมูลที่มีความ Timeliness คืออะไร?
    • คำตอบ: รายงานสภาพอากาศประจำวันที่อัปเดตล่าสุด
  16. ทำไมการเปิดเผยวัตถุประสงค์ของข้อมูลจึงสำคัญ?
    • คำตอบ: ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเจตนาของผู้เขียนและประเมินความน่าเชื่อถือได้
  17. ข้อมูลที่ไม่มุ่งเสนอข้อเท็จจริงมีผลกระทบอย่างไร?
    • คำตอบ: อาจสร้างความเข้าใจผิดหรือทำให้การตัดสินใจผิดพลาด
  18. วิธีการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียคืออะไร?
    • คำตอบ: ตรวจสอบแหล่งที่มา วันเวลาเผยแพร่ และค้นหาข้อมูลจากแหล่งอิสระเพิ่มเติม
  19. ยกตัวอย่างข้อมูลที่มีการนำเสนอไม่ดี
    • คำตอบ: บทความที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีโครงเรื่อง หรือใช้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน
  20. PROMPT ช่วยในการประเมินข้อมูลได้อย่างไร?
    • คำตอบ: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์และประเมินข้อมูลในด้านการนำเสนอ ความสัมพันธ์ วัตถุประสงค์ วิธีการ แหล่งที่มา และความทันสมัยได้ครบถ้วน

ตัวอย่างคำถามตามแนวทาง PISA

สถานการณ์: บทความเกี่ยวกับการใช้ PROMPT เพื่อตรวจสอบข้อมูล

คุณได้อ่านบทความเกี่ยวกับวิธีใช้ PROMPT (Presentation, Relevance, Objectivity, Method, Provenance, Timeliness) ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล บทความดังกล่าวยกตัวอย่างการใช้ PROMPT ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น การตรวจสอบแหล่งข้อมูลของรีวิวสินค้า


คำถาม 1: การวิเคราะห์ข้อมูล

คำถาม: หากคุณพบรีวิวสินค้าที่มีแต่คำชม เช่น “สินค้าดีมาก” “สุดยอด” แต่ไม่มีการระบุชื่อผู้รีวิวหรือวันที่ รีวิวนี้ขาดคุณสมบัติในข้อใดของ PROMPT?

  1. Presentation
  2. Provenance
  3. Timeliness
  4. Method

คำตอบ: 2. Provenance (เพราะไม่มีการระบุชื่อผู้รีวิวหรือแหล่งที่มา)


คำถาม 2: การเชื่อมโยงเนื้อหา

คำถาม: หากคุณกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม คุณพบเว็บไซต์ที่เขียนโดยบริษัทผู้ผลิตพลาสติก ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ควรได้รับการพิจารณาภายใต้ PROMPT ในข้อใดเป็นพิเศษ?

  1. Objectivity
  2. Timeliness
  3. Relevance
  4. Presentation

คำตอบ: 1. Objectivity (เพราะบริษัทผู้ผลิตพลาสติกอาจมีเจตนาแอบแฝง)


คำถาม 3: การประยุกต์ใช้ความรู้

คำถาม: คุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อคอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม คุณพบเว็บไซต์ที่แนะนำคอร์ส แต่เนื้อหาในเว็บไซต์นั้นไม่มีวันที่เผยแพร่ข้อมูลหรือการอัปเดตครั้งล่าสุด คุณควรตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อใดของ PROMPT?

  1. Presentation
  2. Timeliness
  3. Relevance
  4. Method

คำตอบ: 2. Timeliness (เพราะไม่มีวันที่เผยแพร่หรือการอัปเดตข้อมูล)


คำถาม 4: การตัดสินใจ

คำถาม: นักเรียนกำลังเขียนรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขาพบข้อมูลดังต่อไปนี้:

  • รายงานจากองค์กรสหประชาชาติ (UN) ที่เผยแพร่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
  • บล็อกส่วนตัวที่เขียนเมื่อเดือนที่ผ่านมาโดยบุคคลทั่วไป
    เขาควรเลือกข้อมูลใด และเพราะเหตุใด?

คำตอบ: ควรเลือกข้อมูลจาก UN เพราะถึงแม้ข้อมูลจะเก่า แต่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและตรวจสอบได้ ในขณะที่บล็อกส่วนตัวขาด Provenance และ Objectivity


คำถาม 5: การตีความ

คำถาม: เว็บไซต์ข่าวหนึ่งรายงานเกี่ยวกับการค้นพบยารักษาโรคใหม่ แต่ไม่มีการอ้างอิงถึงงานวิจัยหรือแหล่งที่มาของข้อมูล ข้อมูลนี้ขาดคุณสมบัติในข้อใดของ PROMPT?

  1. Provenance
  2. Method
  3. Presentation
  4. Timeliness

คำตอบ: 1. Provenance (เพราะไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา)


คำถาม 6: การคิดวิเคราะห์

คำถาม: หากคุณพบข้อมูลที่มีการใช้ภาษาคลุมเครือ เช่น “งานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า…” โดยไม่มีการอ้างอิงถึงงานวิจัยใด ๆ คุณควรตั้งคำถามในข้อใดของ PROMPT?

  1. Presentation และ Provenance
  2. Objectivity และ Timeliness
  3. Relevance และ Method
  4. Method และ Provenance

คำตอบ: 4. Method และ Provenance (เพราะข้อมูลขาดกระบวนการที่ชัดเจนและแหล่งที่มา)